Is LIFE really complicated? or we make it


วิถีการเป็น ผู้จ้าง ที่ดีในการทำงานกับ ผู้รับจ้าง เพื่อให้ได้งานที่เวิร์คบนความเสี่ยงกับคำว่า “เพื่อน"


คิดหนัก และ คิดอยู่นาน ก่อนที่คนขวางโลกอย่างผมจะรับงานใน field ที่ทำมาตลอดอยู่แต่จะแตกต่างกันที่เป็น อุตสาหกรรมที่ต้องเรียนรู้ไหม่ ยิ่งได้รับคำชักชวนจาก เพื่อนสนิทมาก ด้วยก็ต้อง รอบคอบจริงๆ  เพราะ จากประสบกาณ์ชีวิตแล้ว ควารู้สึกดีๆนั้น มันสร้างกันไม่ได้ง่ายๆเลย แต่ทำลายไม่ยากเลยจริงๆ แต่มันก็พยายามทำให้เป็นเรื่อง ท้าท้าย สำหรับผม มากกว่า ความกลัว ที่จะล้มเหลว แหละนี่แหละที่ผมคิดว่ามันคือ “นักธุรกิจ" ไม่ใช่ “พ่อค้า” ที่คิดว่าตัวเองคือ CEO อย่างที่เคยประสบมา
เพราะความสัมพันธ์จาก เพื่อน มาสู่ ผู้ว่าจ้าง น่าจะเรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนที่สุดอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เพราะอาจมีทั้งที่จะสร้างเรื่องน่าประทับใจพอๆ กับเรื่องที่จะสร้างความปวดร้าวทางจิตใจ (ส่วนอะไรจะมากกว่ากันนั้นก็คงแล้วแต่เคสนั่นแหละนะ)
ทีนี้ผมเลยลองมานั่งคิดๆ ดูว่าแล้วทำอย่างไรที่จะให้การทำงานระหว่าง 2 อย่างนี้ไปด้วยกันได้แถมสร้างงานที่มีดี ตอบโจทย์ทางการตลาด (lงานที่ผมรับจ้าง)ที่ต้องการกันได้ล่ะ? พอคิดแบบนี้ผมเลยลองสรุปเป็นข้อๆ เผื่อเป็นประโยชน์กับพวกมือปืนรับจ้าง และใครที่คิดทำงานกับเพื่อน จะลองเอาไปคิดดู

ตอบตัวเองให้ชัดก่อนว่าจะเอาอะไร

ก่อนที่จะไปคาดหวังให้ หัวหมู่ทะลวงฟันสร้างงานที่ตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดของตัวเองนั้น สิ่งที่ นายจ้าง ควรจะทำอย่างแรกคือมีความชัดเจนและหนักแน่นในตัวเองเสียก่อนว่ากลยุทธ์ของตัวเองคืออะไร เราคาดหวังอะไรจากแคมเปญที่จะบรีฟนี้ แล้วทำไมมันถึงสำคัญ (หรือมันจะส่งผลอะไรกับการตลาดของตัวเอง) ทั้งนี้อย่าลืมว่าสิ่งที่จะบรีฟให้เรานั้นคือหนึ่งในกลยุทธ์ของเรา ถ้าเจ้าของเองไม่นิ่ง ไม่ชัดเจน หรือยังลอยๆ ประเภทไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ มือปืนคงไม่สามารถตรัสรู้ได้ว่าแคมเปญนี้จะคาดหวังอะไร จะทำไปเพื่ออะไรกัน แล้วพอสุดท้ายมันจะไปจบประเภททำอะไรออกมาแล้วไม่สัมฤทธิ์ผลเอาสักทาง

รู้จักวิธีบรีฟแบบที่เอาไปทำงานต่อได้

การบรีฟเป็นเรื่องสำคัญ บางคนอาจจะคาดหวังให้นักการตลากสามารถเข้าใจความคิดประเภทตีแตกได้โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการบรีฟ แต่เอาจริงๆ สำหรับผมแล้ว ถ้าตัวลูกค้าเองยังไม่สามารถอธิบายความต้องการของตัวเองให้คนอื่นรู้เรื่องได้ มันก็คงไม่มีใครจะเข้าใจและไปทำงานที่ถูกใจได้เช่นกัน ทางที่ดีตัวลูกค้าซึ่งเป็นต้นน้ำนี่แหละที่จะต้องถอดความคิดตัวเองออกมาให้กลายเป็นบรีฟงานที่ดีให้ได้เพื่อให้มืออาชีพสามารถนำไปตีโจทย์ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว แทนที่จะต้องเสียเวลาไปนั่งมโนกันว่าจริงๆ ต้องการอะไร รายละเอียดไม่ครบ สับสน (และสุดท้ายก็ต้องแก้กลับไปกลับมาอีกหลายรอบ)

อัพเดทตัวเองบ่อยๆ

ถ้าคุณจะทำงานการตลาด คุณก็ต้องรู้ว่า การตลาดและโฆษณาปัจจุบันเป็นอย่างไร พื้นฐานสำคัญคืออะไร คาแรคเตอร์ของมันเป็นอย่างไร จะทำงานดิจิทัลก็ต้องรู้ว่ามันทำงานอย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรน่าสนใจบ้าง เรื่องพวกนี้จะทำให้เวลาคุยงานกับคนทำงานทำให้คุณคุยกันแบบ “ภาษาเดียวกัน” ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนความเห็นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องมานั่งแปลความหมายหรือทำงานกันแบบดำน้ำกันไปซึ่งก็คงจะไม่ดีเท่าไร จากประสบการณ์ของผมนั้น ยิ่งลูกค้าเป็นคนอัพเดทงานมากขึ้นเท่าไร แม้ว่าอาจจะทำให้ขายงานยากขึ้นแต่มันก็ทำให้หลายๆ อย่างคุยกันเข้าใจได้เร็ว ไม่ต้องมานั่งอธิบายเรื่องบางเรื่องซึ่งทำให้เสียเวลาเกินจำเป็น

ช่วยกันทำงาน ไม่ใช่สั่งงาน

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อน กับ ผู้ว่าจ้าง อาจจะเป็นเหมือนนายจ้างกับลูกจ้าง แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่มีใครอยากถูกสั่งให้ทำงานหรือใช้อำนาจของการเป็น “ผู้จ้าง” มากดดันอีกฝ่ายเป็นแน่ อย่าลืมว่าท้ายที่สุดแล้วงานที่ดีมักจะเกิดจากคนทำงานทำมันด้วยความตั้งใจ ทุ่มเทใจ ซึ่งนั่นมาจากพื้นฐานของ “ใจ” กันเป็นส่วนใหญ่ และเรื่อง “ใจ” นี้ไม่ใช่ว่าจะสร้างกันได้ด้วยการกดดัน ใช้คำพูดถากถาง หรือใช้อำนาจสั่งกันเสียเมื่อไร ในทางกลับกันถ้า สิ่งนี้ใช้ ความสัมพันธ์แบบ เพื่อนมาช่วย เข้าใจ และ “ช่วยเหลือ” แล้ว มันเป็นการทำงานแบบช่วยกันวิ่งสามขา แทนที่จะให้คนหนึ่งวิ่งลากอีกคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อได้ว่าคงไม่มีใครอยากไปเจอสถานการณ์นั้นสักเท่าไรหรอก

รู้ข้อจำกัด รู้จักผ่อนปรน รู้จักเปิดใจ

คนทำงานไหนๆ ก็ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนประเภทสั่งงานวันนี้พรุ่งนี้ได้กันเสียเมื่อไร บางอย่างคนทำงานต้องรู้และเข้าใจลิมิตและความสามารถของคนทำงานด้วยกัน เช่นเดียวกับข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องเช่นงบประมาณ เวลา ฯลฯ ไม่ใช่ประเภทงบน้อยนิดแต่คาดหวังจะเอางานระดับไฮโซ หรืองานแบบเวลาทำเพียงข้ามคืนและอยากได้งานที่เขาคิดกันเป็นเดือน ลองคิดย้อนกลับว่าถ้ามองอย่างถอยออกมา จะกลายเป็นว่ามันเป็นการทำงานที่ไม่อยู่กับความจริง ซึ่งคงยากที่จะมีเทวดาไหนมาสร้างงานที่ถูกใจเราได้

คอมเมนต์งานให้เป็น

การคอมเมนต์งานที่ดีคือการให้คอมเมนต์ที่คนทำงานสามารถเอาทำงานต่อได้ หรือเป็นประโยชน์กับงานจริงๆ ไม่ใช่เป็นการคอมเมนต์เอามันหรือจะโชว์ภูมิว่าชั้นเจ๋งชั้นเก่ง งานที่ดีมักจะเกิดจากการที่คนทำงานให้คอมเมนต์ที่ดีเพื่อนำไปสู่การพัฒนา การปรับปรุงและอุดรอยรั่วต่างๆ เรื่องนี้จริงๆ ก็คล้ายกับบรีฟว่าถ้าไม่สามารถคอมเมนต์ให้จับต้องและเอาไปทำงานต่อได้ก็อย่าไปคอมเมนต์เสียดีกว่า (หรือคนคอมเมนต์ควรจะทบทวนตัวเองเสียก่อน)
ปล. การไม่คอมเมนต์ไม่ได้แปลว่าโง่


ให้เกียรติคนทำงาน

ถ้าอยากให้คนทำงานให้คุณอย่างเต็มใจ เราก็ต้องให้ใจกับเขาก่อน การให้เกียรติคนทำงานเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับคนในออฟฟิศกันเองหรือกับบริษ้ทอื่นๆ ที่ทำงานกับเรา ลองคิดกลับว่าถ้าคนที่ทำงานเราไม่ให้เกียรติกับเรามันก็คงจะเป็นความรู้สึกแย่ๆ ฝังใจ และคงอยากจะทำงานให้เสร็จๆ ไปแทนที่จะให้ความร่วมมือและช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ การให้เกียรติคนทำงานนั้นอยู่ในแทบทุกอย่างระหว่างการทำงานซึ่งแม้อาจจะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยแต่มันมีส่วนสำคัญมากๆ เช่นกัน

ทุกคนไม่ใช่พระเจ้า และผิดเป็นเหมือนกัน

แม้ว่าจะอยู่ในโหมดนายจ้าง แต่ใช่ว่าจะทำผิดไม่เป็น บางครั้งหากมีความผิดพลาด คนทำงานก็ต้องรู้จักรับผิดชอบและมองเห็นความผิดพลาดจากตัวเองเช่นกัน การขอโทษและช่วยกันแก้ไขไม่ได้เป็นเรื่องแย่หรือทำให้คนเป็นลูกค้าดูโง่แต่อย่างใด หากแต่เป็นเรื่องที่ทำให้เรากลับมาดูตัวเองว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไรในอนาคต เช่นเดียวกับทำให้คนทำงานไม่รู้สึกถูกเอาเปรียบด้วยเสียอีกต่างหาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Casa Te Quiero คอนโดวิวทะเล ติดหาดชะอำ ราคาน่าคบหา

การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระหว่าง แนว “น้ำขึ้นให้รีบตัก” กับ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” จะเอายังไงดี ?

Is it OK?