การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระหว่าง แนว “น้ำขึ้นให้รีบตัก” กับ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” จะเอายังไงดี ?
การลุงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจมหภาค (Macro
Eco) เป็นสาคัญ เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวแปรตาม ภาวะเศรษฐกิจกล่าวคือ หากเศรษฐกิจดีย่อม
มี ความต้องการสูงตามหลักทฤษฎีของ Alfred Marshall (Demand
vs Supply) ผมชื่นชอบเพราะมักนำเป็นหลักคิดและปร้บมาใช้ในการดำเนินชีวิตจริง
เพราะจริงๆแล้ว หลักวิชาเศรษฐสาตร์มันสอนว่าทุกๆอย่างเป็นไปตาม เหตู และ ผล ซึงผมเพี้ยนจนทำให้
ผมมองมันคล้ายกับ อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ / สมุทัย / นิโรท /
มรรค ในทางพุทธ
ส่วนทฤษฎีในทางการตลาด วงจรชีวิตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็จะมีการเติบโตวึ่งเป็นช่วงระยะเวลา มีช่วงขาขึ้นจนกระทั่ง “บูม” แต่หลังจากเศรษฐกิจบูมมากๆแล้วย่อมจะ
“ชะลอตัว” เป็นขาลงต่อเนื่องไปจนถึงช่วง “ตกต่ำ” จากนั้นจะค่อยๆ “ฟื้นตัว”
จนกลับมา “บูม” ใหม่เป็นวัฎจักรที่ “มีขึ้นย่อมมีลง” และ “มีลงย่อมมีขึ้น”
(ช่วงบูม-ชะลอตัว-ตกต่า-ฟื้นตัว) ซึ่งมันก็คือ Product Life Cycle ในหลักของการตลาด โดยมีเหตุผลของรองรับตามหลัก อุปสงค์
(Demand) และอุปทาน (Supply) ในตลาด ต่อเนื่องด้วยความสัมพันธ์ (Correlation) ของทั้ง 2
ปัจจัยนี้มันเป็นตัวชี้วัดและกำหนดทิศทางของราคา (Price Determination) ผมคงจะเพี้ยนหนักขึ้นถ้ามองดีๆในทางพุทธคือทุกอย่างย่อมมี
“เกิดขึ้น” “ตั้งอยู่” และ “ดับไป”
ความสำคัญสำหรับ
การลุงทุน ที่ต้องพิจารณาไว้คือ แต่ละช่วงจะมีระยะเวลานานเท่าใด
เมื่อใดราคาจะลงสุดและเมื่อใดจะขึ้น
เพราะเราต้องคาดการณ์อนาคตทีนี้เพราะนักลงทุนจะ
ต้องหาวิธีใช้ประโยชน์จากวัฎจักรดังกล่าวอย่างไร แน่นอนการลงทุนมีหลักการง่ายๆ
ว่าต้องซื้อมาแล้ว ขายต่อให้ได้ราคาที่สูงกว่า หรือพูดกันง่ายๆว่า “ซื้อให้ถูกและขายให้แพง”
แต่บางที ซื้อแพงแล้วขายแพงกว่าก็ได้ ไม่ได้ผิดกฎข้อใดถ้ายังสามารถทำกำไรได้มันเป็น
หลักการที่ทุกคนรู้ดี
ที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่แล้ว มักซื้อในช่วง “บูม” เพราะเศรษฐกิจดีมีเงินมาก กู้ง่าย เพื่อนก็ชวน กระแสก็พาไป แน่นนอนอยู่แล้วเพราะเราอาจถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กโดย ภาษิตไทยและนำมาประยุกต์ใช้เป็น Strategic Investment ว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก”
ในสถานะการณฺ์ปัจจุบันชึ่งรู้ๆกันอยู่ว่าเกิดการชะลอตัว อีกหนึ่งภาษิตไทยก็ถูกนำมาประยุกต์ ใช้เป็น Strategic Investment คือ “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม” อย่าโกรธกันนะครับแค่ล้อกันเล่น
ภาวะตลาดอสังหาในปัจจุบันในตลาดทางหัวเมืองชายทะเลท่องเที่ยว
เนื่องจากมีโอกาสได้ ไปมาหลายหาด อยู่มาหลายเกาะและเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคย สถานะการณ์ไม่แตกต่างจาก
ภาพรวมทั้งประเทศ เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของเศรฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศ
ทำให้อัตราการขายนั้นลดลงเกิดภาพ Excess Supply คือมียูนิตรอขาย (Foreclosed
Units) เกิดขึ้นเยอะมาก
ขณะที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อสำหรับตัวโครงการเอง
(Seller) และ อัตราการการปฎิเสธสินเชื่อของผู้ยื่นกู้สินเชื่อผู้อยู่อาศัยนั้นเพิ่มขึ้นทุกเดือน
(Buyer)
ทำให้เกิดภาพ Lower Demand ความต้องการซื้อลดลง แต่ถ้าพูดกันจริงๆแล้วผมว่าความต้องการซื้อ
ยังมีอยู่จริง แค่กำลังซื้อลดลงเนื่องจากขาดเงินทุนมาสนับสนุน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้
ผู้ประกอบการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร่งการขาย เร่งการโอน และเร่งระบายสต๊อกออกไปให้เร็ว และได้จำนวนมากที่สุด เพื่อรับรู้เป็นรายได้กลับมา
เป็นบรรยากาศธุรกิจที่ชวนอึดอัดในตอนนี้ และสร้าง ปัจจัยกดดันให้กับทั้งผู้ปประกอบการและผู้บริโภค
จากที่ได้มีโอกาสทำงานและติดต่อ ซื้อ ขาย อสังหาริมทรัพย์กับนักลงทุนต่างชาติมาตลอด และได้ศึกษาเรียนรู้วิธีคิดของนักลงทุนต่างชาติในระดับหนึ่ง
เขาน่าจะเหมือนเราคือใช้ Quote ของเขามาประยุกต์ใช้เป็น Strategic Investment คล้ายเรานะ อาทิเช่น
"Price is what you pay, Value is what you get"
"Be fearful when others are greedy, Be greedy when others are fearful"
- WARREN BUFFETอันนี้คิดเอาเองเล่นๆนะครับ ขำๆอย่าซีเรียส
พวกเขานั้นในช่วงบูมต้อง “ขาย” เท่านั้น และจะไม่ซื้อเพราะรู้เสมอว่าหลังจากช่วงเฟื่องฟูแล้ว
จะเป็นช่วงขาลง คือ ชะลอตัวและตกต่ำตามมาและมักรอดูโอกาสและเวลาที่เหมาะสม เพื่อซื้อในราคาที่กำไรทันที
โดยที่จะเลือก Deal กับผู้ประกอบการที่เชื่อถือได้ 3 x Rights (Place, Time & Man) และตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้ ง่ายๆเลยก็ว่ากันตาม
Fact
& Figure เพราะส่วนใหญ่ผมมักจะ Deal ผ่าน Broker และ Agency
Network และมันคือสิ่งที่แตกต่าง ระหว่างนักลงทุนต่างชาติกับนักลงทุนในประเทศ
ถ้ายังจำกันได้สมัยปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง เกิด NPA ขึ้นมาในธุรกิจอสหังหาริมทรัพย์มากมาย
แล้วต่างชาติก็เข้ามาทำการซื้อทรัพย์ เกรด A ว่ากันง่ายๆเลยคือ เอาทรัพย์ชั้นดีไปแล้ว ขณะที่เรารอดูรอสถานะการ์ณและภาวะเศราฐกิจฟื้นตัว
ไม่กี่ปีต่อมาเราก็ไปซื้อกลับ ในราคาตลาดที่มันฟื้นตัวแล้ว
สถานะการ์ณเราไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เราพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมากแล้ว
ผมแค่ยกตัวอย่างให้เห็นวิธีและแนวการลงทุนของต่างชาติ
ตอนนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ
การเริ่มเข้ามาทำการเสนอซื้อ ยูนิตเหลือขาย(Foreclosed Units) ในรูปแบบค้าส่ง (Wholesale Real Estate Investing) ซึ่งเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ อีกอย่างเขามองแล้วว่าพื้นฐานเศรษฐกิจเราดีมากๆ
ปกติโครงการทีขายตามหัวเมืองชาดหาดท่องเที่ยวนั้น
เขาทำการขายเริ่มตั้งแต่ Early Bird หรือ Off Plan เสนอขายให้กับนักลงทุน ผ่าน Network Agent &
Broker อยู่แล้ว ในราคาที่บางทีอาจจะ ต่ำกว่า Pre Sale ที่เปิดขายในบ้านเราเสียอีก สถานะการ์ณปัจจุบันนั้น นักลงทุนต่างชาติที่เห็นโอกาส
เช่น
-
ส่ามารถเสนอซื้อในราคาที่กำไรแน่นนอนทันทีจากราคาเข้าต่อรองซื้อกับโครงการ
เนื่องจาก
ราคาเป้าหมายนั้นน่าจะลดลงจากราคาตลาด
20-40%
-
ได้ของที่เสร็จแล้วทันทีไม่ต้องรอการก่อสร้าง เหมือนซื้อ Off Plan ซึ่งต้องมานั่งลุ้น
กับการก่อสร้างว่าจะขึ้นโครงการหรือเปล่า
โครงการจะก่อสร้างเสร็จหรือเปล่า
-
สามารถทำการปล่อยเช่าได้เลย โดยที่มีความเป็นไปได้ที่ Rental Yield นั้นอาจจะได้สูงขึ้น
เพราะตัวเลขลงทุนซื้อต่ำกว่าราคาตลาด
-
โอกาสที่จะทำการขายต่อหรือ Resale ในอนาคตความเป็นไปได้ที่
profit margin
จะสูงกว่าปกติอยู่
เช่น ถ้าอีก 3-5
ปีข้างหน้าเศษฐกิจฟื้นตัวราคาปรับขึ้นปีเท่าไร
ไม่ขอเดาครับบวกกับส่วนลดที่ได้ไป
-
เขามั่นใจว่ายังไงรายได้หลักของประเทศเรามาจากการท่องเที่ยว
ไม่ว่ารัฐบาลไหน
ก็ต้องส่งเสริมดูแลและรักษาอุตสาหกรรมนี้อย่างดี
ปัจจุบันต่างประเทศเขามี Property Investment
Club ซึ่งรวมนักลงทุนอสังหารายย่อยเข้าไว้ด้วยกันในลักษณะของ Membership ทำให้มีกำลังการซื้อและอำนาจการต่อรองที่มากขึ้น
โดยมีข้อมูล Research สนับสนุนที่ น่าเชื่อถือได้ (Accuracy) และขั้นตอนวิธีการที่โปรงใส (Transparency) แน่นอน
เขาไม่ได้เข้ามามาแบบเดินไปหาโครงการ แบบลูกค้ารายย่อย
ทั้งหมดนี้แล้วที่ผมพูดมานั้นเป็นการเล่าถึงภาวะตลาดและอธิบายลักษณะการลงทุนอสังหาในปัจจุบัน จากสิ่งที่ได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงความแตกต่าง ในวิธีคิด วิธีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ระหว่าง คนที่มี Culture ต่างกัน
ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และไม่มีการเจตนาพาดพิงถึงสิ่งใด แค่ต้องการเล่าประสบการ์ณซึ่งเพราะเห็นช่วงนี้หลายคนนั้นอาจจะบ่นว่า “ช่วงเวลานี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง ในการลงทุนอสังหา”
ส่วนภาษิตไทย
หรือ หลักพุทธศาสนา นั้นเป็นแค่มุมมองส่วนตัว เพื่อให้สนุกสนานกัน ไม่อยากให้มองธุรกิจอสังหาเป็นเรื่องเครียด
เรื่องซับซ้อนครับ ไม่มีเจตนาล้อเลียน หรือ ลบหลู่แต่อย่างได
“Real Estate may be complicated but
Understandable”
ขอบคุณมากครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น